KPMG Leadership Conference 2018 "ความล้มเหลว ความฝัน ความสำเร็จ" การเป็น Speaker ที่ผมภูมิใจที่สุด

จากความฝันสู่เวทีใหญ่ : การได้รับเชิญไปเป็น Speaker ในงานระดับประเทศ

หลายคนมีความฝันอยากที่จะสร้างแรงบันดาลใจและถ่ายทอดประสบการณ์ให้ผู้อื่นได้รับรู้ การได้เป็น Speaker บนเวที KPMG Leadership Conference 2018 ถือเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งที่สะท้อนถึงความสามารถและความพยายามที่ผมได้ทุ่มเทมาตลอด

โดยงาน KPMG Leadership Conference เป็นงานสัมมนาระดับนานาชาติที่จัดขึ้นโดยบริษัท KPMG ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของโลก งานนี้มุ่งเน้นพัฒนาและสนับสนุนผู้นำในแวดวงธุรกิจ ให้กับผู้เข้าร่วมที่เป็นผู้บริหารระดับสูงจากทั่วโลก เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการบริหารองค์กร ความเป็นผู้นำในยุคดิจิทัล และการรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

สำหรับผม การได้รับเชิญไปเป็น Speaker ในงานระดับประเทศไม่ใช่แค่เกียรติยศส่วนตัว แต่ยังเป็นโอกาสที่ทำให้ได้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์จากการเดินทางที่ยาวนาน กว่าจะมาถึงจุดนี้ต้องผ่านความท้าทายและอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่การพยายามสร้างทุกอย่างด้วยตัวผมเอง จนถึงการเติบโตในการทำธุรกิจ การถูกมองเห็นและยอมรับในความสามารถทำให้การได้รับเชิญไปพูดในงานนี้เป็นเหมือนความฝันที่เป็นจริง

จากความล้มเหลวในชีวิตสู่ความฝันที่เป็นจริง การได้มาแชร์ประสบการณ์บนเวที KPMG เวทีระดับประทศ

โดยในหัวข้อที่ผมเลือกไปพูดนั้นคือการแชร์ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของผมเอง การเติบโตมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดไม่ได้เป็นเรื่องง่ายสำหรับใคร แต่สำหรับผม มันคือจุดเริ่มต้นของความมุ่งมั่นและแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเป็นเจ้าของธุรกิจบริหารสถานศึกษาในวันนี้ ชีวิตของผมเริ่มต้นจากความล้มเหลวภายในครอบครัว พ่อทำไม่ดีกับแม่ทั้งทางร่างกายและจิตใจ และแล้ววันหนึ่งแม่ตัดสินใจพาผมและน้องออกจากเกาะสมุยมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่กรุงเทพฯ

เมื่อแม่พาผมกับน้องมาถึงกรุงเทพ ทุกอย่างดูไม่แน่นอน แม่ตัดสินใจส่งเราทั้งสองคนเข้าเรียนที่โรงเรียนอินเตอร์แห่งหนึ่งเพราะอยากให้ผมกับน้องได้ในเรื่องของภาษา โรงเรียนสวยงาม ดูดีไปหมด ผมชอบโรงเรียนนี้มาก แต่ค่าเทอมของโรงเรียนที่ยื่นมาให้แม่ผมนั้นสูงมาก ต่อปี คือ 700,000 บาท แม่ผมมองหน้าผมแล้วถามผมในวัย 13 ขวบ วันนั้นว่า " คิดว่าแม่ทำได้ไหมลูก " ผมตอบแม่ไปโดยไม่รู้เลยว่าเงินจำนวนเท่านั้นมันมีมูลค่ามากมายเท่าไหร่ ผมตอบแม่กลับไปทันทีว่า " ทำได้สิครับแม่ "

ผมใช้ชีวิตวัยรุ่นปกติเหมือนเด็กทุกคนในวัยของผม เรียนหนังสือ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย มีความรัก ผลิตแขนหุ่นยนต์สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน จนเวลาผ่านไป 3 ปี ผมเดินเข้าไปในโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรกของชั้นม.5 เป็นวันที่ผมตกใจและช็อคมากที่สุดเพราะโรงเรียนไล่ผมออก โดยผมมารู้ทีหลังว่าแม่ผมค้างค่าเทอมกับโรงเรียน 3 ปี รวมเป็นเงินกว่า 4 ล้านบาท แม่ผมต่อรองกับโรงเรียนทำทุกอย่างเพื่อให้ผมได้เรียนต่อ โรงเรียนเห็นผมเป็นเด็กดีตั้งใจเรียนและเคยสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน จึงลดราคาค่าเทอมจาก 4 ล้าน เหลือ 2 ล้านบาท แต่มีเงื่อนไขคือ ต้องจ่าย 500,000 บาท ภายในวันนี้เท่านั้น

จุดเริ่มต้นความฝัน ผมต้องสร้างบริษัทที่ใหญ่โตระดับโลกให้ได้

ผมฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างในชีวิตจนผมเรียนจบ การเดินทางในชีวิตของผมเริ่มต้นจากความฝันที่จะทำธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร ผมมีความฝันโดยมีไอเดียใหม่ที่เกี่ยวกับการสแกนลายนิ้วมือในโรงเรียน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ยังใหม่และไม่เคยมีมาก่อนในตอนนั้น เริ่มต้นจากเงินไม่กี่บาทและความมั่นใจในตัวผมเองที่จะต้องทำให้ได้ ผมไปเสนอไอเดียให้ใครหลายคนฟัง หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ บางคนถามว่า “จะทำได้เหรอ? มีความรู้หรือเปล่า? ต้องใช้เงินเท่าไหร่?” แม้ว่าจะได้รับความเห็นแบบนี้ ผมก็ไม่ยอมแพ้และเริ่มทำธุรกิจด้วยความมุ่งมั่นต่อไป

การเริ่มต้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ ผมก็ได้พบกับปัญหามากมาย ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนทุกอย่างจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ ผมตัดสินใจต้องหาคนมาช่วย และเริ่มต้นหาเพื่อนผ่านทางอินเทอร์เน็ตในปี 2013 จนได้พ บกับคุณโจ้ ซึ่งเป็นคนที่เชื่อในตัวผมและพร้อมจะเริ่มต้นไปด้วยกันกับผม เราเขียนโปรแกรมด้วยกันทุกคืนในห้องเช่าขนาดเล็กตลอดทั้งปี ทดสอบระบบกับโรงเรียนและกลับมาแก้ไขเรื่อยๆ จนถึงวันหนึ่งที่เงินผมหมด ผมตัดสินใจบอกกับคุณโจ้ตรงๆว่าผมไม่มีเงินแล้ว และผมถามเขาว่าจะเอาเงินเดือนของเดือนนี้หรือไม่ ถ้าคุณโจ้เอาก็จบตรงนี้และแยกย้าย หรืออีกทางก็คือลองมาสู้กันให้สุดทางอีกตั้งนึง คุณโจ้ปฏิเสธที่จะรับเงินเดือน แล้วบอกกับผมว่าจะอยู่สู้กับผมต่อไป

ผมทำทุกวิถีทาง เริ่มหา Connection โดยการทักหาเพื่อนเก่าสมัยมหาลัยเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้เพื่อนผมฟัง เพื่อนผมบอกกับผมว่าเขารู้จักนักลงทุนอยู่คนหนึ่ง ที่ลงทุนในธุรกิจ Start Up ผมนัดเจอนักลงคนนั้นทุนอย่างเร็วที่สุดเพราะผมต้องการเงินเพื่อที่จะขับเคลื่อนให้ "จับจ่าย" ไปต่อให้ได้ ผมนัดเจอพูดคุยกับนักลงทุนคนนี้โดยใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาที เขาตัดสินใจลงทุนกับผมเป็นจำนวนเงิน 8 ล้านบาท ทันที

ผ่านปัญหาอุปสรรค สู่ความสำเร็จก้าวใหญ่ในชีวิต

หลังจากนั้น ภายในระยะเวลา 5-6 เดือน บริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น ได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 จากทั่วประเทศ และเริ่มมีลูกค้าเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกว่าผมควรเริ่มขยายบริษัทและทีมให้ใหญ่ขึ้นและแน่นอนการขยับขยายต้องใช้เงินในจำนวนที่มากขึ้น ผมติดต่อนักลงทุนคนเดิมกลับไปอีกครั้ง เขาพาผมบินไปที่ประเทศจีนเพื่อไปพบกับเพื่อนๆนักลงทุนของเขา ผมตัดสินใจเลือกดีลที่ดีกับจับจ่ายที่สุด ภายในสิ้นปี บริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น มีเงินเข้ามาทั้งสิ้นกว่า "20 ล้านบาท" บริษัทของผมเติบโตและก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลในการบริหารสถานศึกษา "อันดับ 1 ของประเทศไทย" ในที่สุด

ผมรู้สึกภูมิใจและเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาของผมตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดที่ผมประสบความสำเร็จ ที่เวที KPMG Leadership Conference 2018 ถึงแม้ระหว่างของผมทางจะไม่ได้สวยงามเหมือนคนอื่นและมีอุปสรรคเข้ามามากมายแต่ผมดีใจที่วันนั้นผมไม่ยอมแพ้เพราะถ้าวันนั้นผมถอดใจผมจะไม่มีทางรู้เลยว่าอีกแค่ไม่กี่เดือนข้างหน้า บริษัทของเราจะมีเงินเข้ามาแล้วประสบความสำเร็จมากขนาดนี้และเปลี่ยนชีวิตคนธรรมดาอย่างผมไปตลอดกาล

สุดท้ายนี้ ผมอยากบอกทุกคนว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จไม่เคยราบรื่นและสวยงาม ทุกก้าวที่คุณเดินอาจจะเต็มไปด้วยอุปสรรค ความเจ็บปวด และความล้มเหลว แต่จงจำไว้ว่าทุกสิ่งที่คุณเผชิญคือบทเรียนที่ทำให้คุณเติบโต การที่ผมมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้ ก็เพราะผมไม่เคยยอมแพ้ในวันที่รู้สึกหมดหวัง หรือวันที่ทุกอย่างดูเหมือนจะไม่เป็นใจ หากคุณมีความฝันที่ยิ่งใหญ่และเป้าหมายที่ชัดเจน จงสู้ต่อไปด้วยหัวใจที่มั่นคง ไม่มีความยากลำบากใดที่จะอยู่กับคุณตลอดไป เมื่อคุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นได้ คุณจะพบว่าทุกอย่างที่คุณพยายามคุ้มค่า จงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะความสำเร็จนั้นรอคุณอยู่ ขอเพียงแค่คุณไม่ยอมแพ้ ผมผ่านมันมาได้ คุณก็จะผ่านมันไปได้เช่นกัน

นรินทร์ คูรานา

ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จับจ่าย คอร์ปอเรชั่น จำกัด